ใครทำงานเกี่ยวกับการตลาดหรือ SEO ไม่ควรพลาดบทความนี้อย่างยิ่ง!
เพราะนี่คือบทความที่จะช่วยทำให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับจากการทำ SEO ได้เร็วขึ้น ด้วยการทำความเข้าใจในวิธีการทำงาน และ Algorithm หรือระบบประมวลผล ที่ทำหน้าที่ในการจัดอันดับ และการแสดงผลการค้นหาของ Google ให้มากขึ้น หรือที่คุณอาจจะเคยได้ยินมาก่อนแล้วในชื่อ “E-A-T Factor” นั่นเองครับ
สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่า E-A-T Factor คืออะไร ผมจะอธิบายให้คุณเข้าใจกันก่อนนะครับ
E-A-T Factor คือ หลักเกณฑ์ ปัจจัย หรือวัตถุประสงค์ที่มีประโยชน์ (Beneficial Purposes) ที่ Algorithm หรือระบบประมวลผลของ Google Search นำมาใช้ในการพิจารณาคุณภาพของเว็บไซต์ ซึ่งหลักเกณฑ์นี้มีผลทำให้ลำดับค้นหาใน Google มีการปรับเปลี่ยนขึ้น-ลงจากเนื้อหา บทความต่างๆ ที่มีอยู่บนเว็บไซต์
ดังนั้น หากคุณต้องการทำอันดับให้ติดในหน้าแรกของผลการค้นหา คุณก็ต้องทำให้เนื้อหาบนเว็บไซต์ของคุณมีคุณภาพ และตรงกับหลักเกณฑ์ E-A-T Factor ที่ทาง Google กำหนดไว้ครับ
องค์ประกอบของ E-A-T Factor จะมีอยู่ด้วยกัน 3 ประการ คือ
เป็นหลักเกณฑ์ที่ว่าด้วยเรื่องของความเป็นกูรู (Guru) หรือความรู้และทักษะเฉพาะในด้านใดด้านหนึ่งที่ผู้เขียนหรือเจ้าของเว็บไซต์จะถ่ายทอดออกมาให้ผู้อ่านได้รับรู้อย่างถูกต้อง ลงลึก (Niche) และสามารถให้คำตอบกับผู้อ่านได้ด้วยโครงสร้างของเนื้อหาที่ดี
ซึ่งเกณฑ์นี้จะช่วยทำให้ Google มองเห็นว่า เว็บไซต์ไหนมีความเชี่ยวชาญจริง และควรถูกจัดอันดับใน Ranking ที่สูงขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ https://nerdoptimize.com/ ของเราที่เชี่ยวชาญและทำคอนเทนต์ด้าน Digital Marketing มาตลอด แน่นอนครับว่า Google มองว่า เราเป็น Expert ในด้านนี้ แต่ถ้าวันหนึ่งเราเกิดเปลี่ยนมาลงคอนเทนต์รีวิวอาหาร ในสายตาของ Google หรือตัวผู้อ่านก็คงจะมองว่าเราไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ และไม่ถูกจัดอันดับเนื้อหาไว้ใน Keyword เหล่านั้นครับ
หากคุณคือ Expert ในตลาดที่คุณกำลังทำอยู่ สิ่งที่จะตามมาคือ อิทธิพลหรือ อำนาจ (Authoritativeness) ที่คุณมักจะได้รับจากการอ้างอิง พูดถึง หรือที่เราเรียกกันว่า การได้รับ Backlink ที่มีคุณภาพจากเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง
ยิ่งคุณได้รับการอ้างอิงมากเท่าไหร่ ก็เหมือนกับการที่เว็บไซต์ของคุณได้รับการโหวตจากเว็บไซต์อื่นๆ ว่าน่าเชื่อถือ ทำเนื้อหาได้ดีจนต้องนำไปอ้างอิงต่อ ซึ่งนี่ถือเป็นการแสดงให้ Google เห็นถึงความมีอิทธิพลและความเชี่ยวชาญ สุดท้ายเว็บไซต์ของคุณก็จะถูก Google จัดอันดับ Page Ranking ที่ดีขึ้นนั่นเองครับ
แน่นอนว่า ถ้าคุณมีทั้งความเชี่ยวชาญและมีอิทธิพลแล้ว เว็บไซต์ของคุณก็ย่อมมีความน่าเชื่อถือ แต่ก็ต้องมาพร้อมกับ ความสดใหม่จากการทำคอนเทนต์สม่ำเสมอ ความโปร่งใสจากการระบุตำแหน่งหรือช่องทางการติดต่อที่ชัดเจน และความเกี่ยวข้องของ Keyword และเนื้อหา ที่ Google มองแล้วว่าเว็บไซต์ของคุณควรจะต้องถูกจัดอันดับใน Ranking ที่สูงขึ้นด้วย
แล้วทำไมถึงต้องใช้หลักเกณฑ์ EAT Factor ในการประเมินเว็บไซต์ของคุณด้วยล่ะ?
เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปในปี 2015 ที่ Google มีการเผยแพร่เอกสารที่เกี่ยวกับ Search Quality Rating Guidelines โดยมีเนื้อหาภายในแยกเป็น 4 ส่วนคือ ภาพรวมทั้งหมด, Page Quality, ความเข้าใจถึงโมบาย, เรื่อง Rating และการใช้ Evaluation Platform ซึ่งถือเป็นคู่มือฉบับเต็มครั้งแรกที่ Google ออกมาเผยแพร่ข้อมูลทุกสิ่งที่เกี่ยวกับการจัดอันดับการค้นหา และหนึ่งในนั้นมีการพูดถึงหลักเกณฑ์ E-A-T Factor รวมอยู่ด้วย
ซึ่งเมื่อมีหลักเกณฑ์ E-A-T Factor ถูกนำมาใช้ก็ทำให้เว็บไซต์หลายๆ เว็บที่เน้นการทำสแปม ให้ข้อมูลไม่จริง เป็นข้อมูลที่ไม่ได้รับการอัปเดต หรือชอบคัดลอกคอนเทนต์มาจากเว็บไซต์อื่นๆ ถูกจัดการ และทำให้เว็บไซต์ที่มีคุณภาพได้มีโอกาสพบเจอ และถูกจัดอันดับไว้ใน Ranking ที่ดีขึ้น ส่งผลให้ผลการค้นหามีแต่เนื้อหาคุณภาพ (Quality Content) สำหรับผู้ใช้งานเท่านั้นครับ
ละในช่วงปี 2018 ที่ผ่านมา Google มีการพัฒนาระบบ Algorithm ที่มีชื่อว่า “YMYL” ย่อมาจาก Your Money Your Life โดยเป็นเกณฑ์ที่ใช้ในการจัดอันดับเว็บไซต์ที่มีคอนเทนต์เกี่ยวข้องกับการเงิน สุขภาพ การดูแลตัวเอง กฎหมาย E-Commerce ความปลอดภัย และชีวิตของผู้อ่าน
ซึ่งเว็บไซต์เหล่านี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้ข้อมูลที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือมากที่สุด เพราะบทความที่เกี่ยวกับ YMYL อาจส่งผลกระทบในแง่ลบได้หากเป็นข้อมูลบิดเบือน หรือเป็นแค่ความคิดเห็นจากผู้เขียน เช่น หากคุณป่วย แล้วต้องการหาข้อมูลเกี่ยวกับอาการ แต่เมื่อค้นหาข้อมูลบน Google แล้วกลับพบแต่บทความที่มีเนื้อหาไม่ถูกต้อง ซึ่งบางคนอาจไม่รู้แล้วนำไปทำตาม นี่อาจจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคุณได้
ดังนั้น เนื้อหาบนเว็บไซต์ของคอนเทนต์ประเภท YMYL จึงจำเป็นต้องเชื่อมโยงกับ E-A-T Factor และต้องทำให้ถูกต้องในหลักเกณฑ์ที่กำหนดไปโดยปริยายครับ
สำหรับใครที่ไม่แน่ใจว่า เว็บไซต์ของคุณนั้นอยู่ในเกณฑ์ที่ E-A-T Factor หรือไม่ ลองดูว่า สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่หรือเปล่าดีกว่าครับ
*(หากคุณทำอยู่แนะนำให้หยุด แล้วลองเปลี่ยนไปทำวิธีที่ถูกต้องในหัวข้อถัดไป รับรองว่า จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณตรงตามเกณฑ์ E-A-T Factor แน่นอนครับ)
เช็กคุณภาพของคอนเทนต์กันไปคร่าวๆ แล้ว คราวนี้เรามาปรับปรุงเนื้อหาและเว็บไซต์ให้ตรงตามเกณฑ์ E-A-T Factor ในแต่ละหัวข้อกันเลยดีกว่าครับ
มาเพิ่มความเชี่ยวชาญของเว็บไซต์ด้วยคอนเทนต์ที่มีคุณภาพและสื่อสารให้ผู้อ่านเห็นว่า คุณคือผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมของคุณกันดีกว่าครับ โดยวิธีการปรับเนื้อหาบทความให้น่าอ่าน พร้อมทั้งทำการปรับปรุง SEO On-Page ให้ดีขึ้นไปพร้อมๆ กัน ดังนี้
คุณจะสามารถสร้างอิทธิพลได้ ก็เมื่อได้รับความไว้วางใจที่มากพอ หรือก็คือการได้รับ Backlink ที่มีคุณภาพมาจากเว็บไซต์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคุณสามารถทำได้ด้วยวิธีต่างๆ ต่อไปนี้
ความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ Google จะพิจารณาจาก…
ถึงแม้เราจะเริ่มทำความรู้จักกับ E-A-T Factor กันไปไม่นาน ตอนนี้ล่าสุด Google ได้ทำการอัปเดตกฎเกณฑ์นี้ลงใน Search rater guidelines ในชื่อ E-E-A-T Factor มาดูกันว่า E-E-A-T Factor คืออะไร และมีกฎเกณฑ์อะไรที่เพิ่มเติมเข้ามาอีกบ้าง
E-E-A-T Factor คือ กฎเกณฑ์ใหม่ล่าสุดที่ Google ทำการอัปเดตจาก E-A-T Factor เดิมที่ Google นำมาใช้ในการพิจารณาคุณภาพของเว็บไซต์ จากที่เรารู้กันอยู่แล้วว่า E-A-T Factor จะประกอบด้วย
Google ได้ทำการเพิ่ม “Experience” หรือประสบการณ์ โดย Experience ในที่นี้จะหมายถึง ประสบการณ์ของผู้สร้างเนื้อหาว่ามีประสบการณ์โดยตรงหรือประสบการณ์จริงในหัวข้อนี้หรือไม่ เช่น หากทำการเขียนรีวิว ผู้เขียนเคยใช้สินค้าหรือบริการนั้นหรือเปล่า, หากเป็นการเขียนสูตรอาหารผู้เขียนเคยทำอาหารมาก่อนหรือไม่ หรือทำการเขียนเนื้อหาจากแหล่งที่มาที่ไม่น่าเชื่อถือ เช่น เขียนถึงการใช้แบบฟอร์มภาษี แต่ให้ไปดาวน์โหลดเอกสารได้จากเว็บไซต์ทำอาหาร
นอกจากนี้ยังขยายไปยังหัวข้อที่เป็น YMYL ด้วย โดย YMYL บางประเภทจะถูกสร้างขึ้นเพื่อแบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัว ซึ่งมักจะเกี่ยวกับชีวิตที่ยากลำบาก และความท้าทายบางประการ เช่น รีวิวบริการออมเพื่อการเกษียณอายุโดยผู้ที่มีประสบการณ์โดยตรงในการใช้บริการ, รีวิวประสบการณ์ต่อสู้กับมะเร็งและการบอกวิธีการทำเคมีบำบัด เป็นต้น แต่ทั้งนี้ หัวข้อ YMYL ที่เกี่ยวข้องกับการแชร์ประสบการณ์เหล่านี้ก็ต้องได้รับการพิจารณาว่ามี E-E-A-T ที่มีคุณภาพด้วยจึงจะทำอันดับที่ดีได้
และเมื่อทำการเพิ่ม Experience เข้ามาเป็นอีกหนึ่งเกณฑ์หลักของ E-E-A-T Factor ทำให้ Trustworthiness (ความน่าเชื่อถือ) กลายเป็นศูนย์กลางของการทำ E-E-A-T Factor เพราะการที่จะทำให้เกิดความน่าเชื่อถือได้ จำเป็นที่จะจ้องทำให้เว็บไซต์มี Expertise (ความเชี่ยวชาญ) Authoritativeness (ความมีอิทธิพล) และ Experience (การมีประสบการณ์) เสียก่อน ซึ่งเว็บไซต์จะน่าเชื่อถือหรือไม่นั้นจะขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของการทำเว็บไซต์ในแต่ละหน้า เช่น
การให้คะแนนคุณภาพของเพจด้วยการประเมินจาก E-E-A-T Factor จะต้องมีปัจจัยต่างๆ ประกอบกัน ยกตัวอย่างเช่น
Backlinks ที่ได้มาจากเว็บไซต์ที่มีอิทธิพลและเกี่ยวข้อง ถือเป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดที่จะการันตีว่าเว็บไซต์ของคุณมีอำนาจ มีความเชื่อถือ และมีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมของคุณ ซึ่งวิธีการที่จะได้ Backlinks เหล่านั้นมาก็ต้องลงทุนในด้านการทำคอนเทนต์ที่ดี ไม่ซ้ำใคร และมีคุณภาพสูงอย่างต่อเนื่อง ทำให้เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องเห็นว่าคุณคือผู้เชี่ยวชาญจนต้องทำการอ้างอิงถึงคุณ
การได้รับการพูดถึง (Metion) จากแหล่งที่มีความเชื่อถือ สามารถเพิ่มข้อมูลรับรอง E-E-A-T ของคุณได้ ยิ่งแบรนด์/ชื่อเว็บไซต์ของคุณไปปรากฏในแหล่งที่น่าเชื่อถือบนโลกอินเทอร์เน็ตมากเท่าไหร่ Google ก็ยิ่งเห็นว่าคุณเป็นผู้มีอำนาจที่เชื่อถือได้มากขึ้นเท่านั้น ซึ่งวิธีการที่จะทำให้ถูกพูดถึงมีมากมายหลายวิธี เช่น การเข้าร่วม Podcast, การเป็นพาร์ทเนอร์กับอินฟลูเอนเซอร์, การเข้าร่วมเป็นวิทยากรในงานอีเวนต์, การรับบท Guest เพื่อเขียนบทความให้เว็บไซต์อื่น เป็นต้น
ปรับปรุงเนื้อหาบนเว็บไซต์ให้เป็นปัจจุบันด้วยข้อมูลที่ถูกต้องมากที่สุด โดยเฉพาะเนื้อหาที่เขียนขึ้นมาตามกระแส เช่น ข่าว เทรนด์ ข้อมูลทางการแพทย์ ฯลฯ
บทวิจารณ์เชิงบวกจำนวนมากในเว็บไซต์จะช่วยสร้าง E-E-A-T ให้เกิดขึ้นในสายตาของ Google เพราะแสดงให้เห็นว่าบริษัทของคุณน่าเชื่อถือในสายตาผู้บริโภค
Google ชอบเนื้อหาที่สร้างขึ้นจากผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้น คุณสามารถเพิ่ม E-E-A-T ของไซต์ของคุณได้โดยทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ เช่น แพทย์ ทนาย เชฟ ฯลฯ มีข้อมูลยืนยันว่าพวกเขามีความเชี่ยวชาญจริงๆ
ผู้ที่เขียนเนื้อหาให้กับเว็บไซต์ของคุณควรมีการระบุข้อมูลที่รับการยอมรับว่าเป็นผู้มีอิทธิพลและเชี่ยวชาญในสาขาใดสาขาหนึ่ง เช่น การศึกษา รางวัล หนังสือที่เขียนเอง ใบรับรอง เป็นต้น
การแสดงข้อมูลติดต่อของคุณเอาไว้ในเว็บไซต์ จะแสดงให้ Google เห็นว่าคุณเป็นบริษัทที่มีตัวตนจริงๆ
เช่น ทำการลบ ปรับปรุงแก้ไขใหม่ หรือทำการรวมเนื้อหาเข้ากับหน้าอื่นที่เกี่ยวข้องกัน เช่น สมมติว่าคุณมีบล็อกโพสต์ที่เขียนเมื่อสี่ปีที่แล้ว หากข้อมูลล้าสมัยให้อัปเดตใหม่ให้เป็นปัจจุบัน หรือทำการลบทิ้งหากไม่ต้องการแล้ว หรือจะทำการรวมเนื้อหาให้มีความยาวมากขึ้นก็ได้ เป็นต้น
ควรวางแผนการเขียนคอนเทนต์ให้มีเนื้อหาที่มีคุณภพาและเชื่อมโยงถึงกันด้วยการทำ Content Marketing Framework
ทำการโปรโมตหน้าเว็บไซต์นั้นๆ โซเชียลมีเดียอื่นๆ ไปจนถึงการส่งอีเมลหากลุ่มเป้าหมายที่มีโอกาสเปิดเว็บไซต์ของคุณด้วย
การทำให้เว็บไซต์และเนื้อหาบทความให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ E-A-T Factor ถือเป็นเรื่องสำคัญมากนะครับ เพราะนี่คือเครื่องหมายที่การันตีแล้วว่า เว็บไซต์ของคุณจะสามารถติดอันดับในหน้าหนึ่งได้อย่างมั่นคง ยาวนาน และไม่ตกอันดับง่ายๆ เนื่องจากได้รับการยอมรับแล้วว่า ตรงตามหลักเกณฑ์ 3 อย่าง ได้แก่ Expertise, Authoritativeness และ Trustworthiness แบบครบถ้วน อาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อย แต่เชื่อเถอะครับว่า จะทำให้การทำ SEO ของคุณได้ผลระยะยาว และเป็นขวัญใจของทั้งผู้อ่านและ Google อย่างแน่นอน
แหล่งอ้างอิง : https://nerdoptimize.com/eat-ranking-factor/