ทำอย่างไรก็ไม่ติด SEO อาจเป็นเพราะคุณยังไม่แม่นเรื่องการทำ On Page SEO หรือเปล่าครับ?
มาเพิ่มผลลัพธ์ให้ติดอันดับหน้า Google แบบมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยการปรับปรุงเว็บไซต์ด้วยเทคนิค On Page SEO SITE อีกหนึ่งวิธีการสำคัญเลยนะครับสำหรับคนทำเว็บไซต์ และในบทความนี้ผมมี Guideline ดีๆ มาฝากครับว่า คุณควรจะทำ SEO On Page อย่างไร ถึงจะกลายเป็นที่รักของ Google แต่ก่อนอื่นไปดูกันก่อนดีกว่าครับว่า On Page SEO คืออะไร และสำคัญอย่างไรกับการทำ Search Engine Optimization บทความนี้มีคำตอบอย่างละเอียดครับ
On Page SEO คือ การปรับแต่งเนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพให้ดีพอต่อผู้ใช้งานและตัว Bot ของ Search Engine ทำให้เข้าใจได้ง่ายว่า เว็บไซต์ของคุณเกี่ยวข้องกับเรื่องอะไร ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อการทำ SEO อีกด้วย
การทำ On Page SEO นั้นมีประโยชน์ต่อทั้งผู้ใช้งาน และเอื้อให้ Algorithm หรือ Bot ของ Search Engine ทำงานได้ง่ายขึ้น
โดยผู้ใช้งานที่เข้ามายัง Search Engine เพื่อค้นหาสิ่งที่สงสัย หรือสิ่งที่ต้องการ การที่คุณปรับปรุงเว็บไซต์ด้วยการทำ On Page SEO ให้ดี ทั้งเรื่องการตั้งชื่อที่อยู่ลิงก์ (Slug URL) การตั้งชื่อ Tiltle หรือ Meta Description Description
(ซึ่งถ้าใครยังไม่ทราบว่าสิ่งที่กล่าวมาคืออะไร ผมจะมีอธิบายวิธีการเอาไว้ในหัวข้อด้านล่างนะครับ)
ก็จะช่วยทำให้ผู้ใช้งานรู้ได้ว่า เว็บไซต์ของคุณในหน้านั้นๆ มีคำตอบที่เขาตามหาหรือไม่ หากเว็บไซต์ของคุณสามารถตอบสนองพวกเขาได้จริง ก็เท่ากับว่า คุณได้กลุ่มเป้าหมายที่อาจสนใจสินค้าหรือบริการของคุณมาไว้ในมือ
Search Engine อย่าง Google จะมองคอนเทนต์บนเว็บไซต์ของคุณว่ามีความเกี่ยวข้อง (Relevant) กับคำค้นหา (Keyword) ที่ใช้หรือไม่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าให้คุณสแปม Keyword ลงไปในคอนเทนต์
( แน่นอนแหละครับว่า Google จะทำการปัดตกเว็บไซต์ของคุณทิ้งอย่างแน่นอน )
มันมีวิธีการมากกว่านั้นที่จะช่วยทำให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับจากการทำ On Page SEO ซึ่งในปี 2023 นี้ คุณต้องปรับเนื้อหาบนเว็บไซต์ให้เหมาะสมสำหรับ:
และผมจะบอกวิธีการให้คุณทราบในหัวข้อถัดไป…
ถึงเวลาของการปรับ On Page SEO ให้ดีขึ้นกันแล้วครับ มาดูกันดีกว่าว่าจะทำได้อย่างไรบ้าง?
หัวใจสำคัญอย่างหนึ่งของการทำ SEO ก็คือ Keyword แน่นอนครับว่า ถ้าเราอยากจะปรับแต่งเว็บไซต์ด้าน On Page ให้ดีขึ้นก็ต้องโฟกัสในเรื่องของ keyword ด้วย ซึ่งผมก็มีเทคนิคเกี่ยวกับเรื่องนี้มาฝากกัน ดังนี้
อย่างที่บอกไปแล้วว่า Google จะมองหาความเกี่ยวข้องของคอนเทนต์บนเว็บไซต์และ Keyword ที่ใช้ หาก Target Keyword ที่คุณเลือกนั้นตรงกับ Search Intent
ซึ่งเป็นสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายต้องการรู้ และคุณก็ลงทุนทำคอนเทนต์เสิร์ฟได้ตรงใจพวกเขาอย่างละเอียด แน่นอนว่า Google ย่อมมองเห็นความเกี่ยวข้องและคุณภาพของเว็บไซต์ของคุณอย่างแน่นอน
โดยตำแหน่งที่ควรจะมี Keyword นั้น จะแบ่งเป็น…
เรื่องของความถี่ของการใช้ Keyword ในคอนเทนต์ เป็นอีกเรื่องที่คุณสามารถทำการปรับปรุงได้ ลองคิดดูนะครับว่า ถ้าคุณเขียนบทความเกี่ยวกับ Keto Diet แต่ในบทความนั้นกลับมีคำ Keyword นี้ปรากฏอยู่ในบทความแค่ครั้งเดียว Google อาจจะมองว่า บทความนี้อาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับคำค้นหานี้สักเท่าไหร่
ในทางกลับกัน หากหน้านี้กล่าวถึงคำว่า Keto Diet ถึง 10 ครั้ง Google ก็จะมั่นใจมากขึ้นว่าหน้านั้นกำลังพูดถึงเรื่อง Keto Diet อยู่ และนี่คือ Target Keyword ที่กำลังโฟกัสอยู่ในบทความนี้ แต่ทั้งนี้ การใส่ในจำนวนที่มากเกินไปอาจถูกมองว่าเป็นสแปมได้ จึงควรใส่ Keyword ให้ดูเป็นธรรมชาติ อ่านแล้วเข้าใจ มากกว่าการเขียนย้ำๆ แต่ว่าไม่ได้มีเนื้อหาสาระที่ผู้อ่านจะได้ประโยชน์เลย
นอกจากการใส่ Keyword ลงไปยัง Title และ Meta Descrtiption แล้ว ก็ยังจะต้องปรับปรุงในเรื่องของความยาวให้เหมาะสมกับการแสดงผลบนหน้าการค้นหาของ Google ด้วย ซึ่งคุณสามารถใช้ SERP Snippet Optimization Tool ในการตรวจสอบความยาวของ Title และ Meta Descrtiption ว่าพอดีหรือยังได้ด้วยตัวเองเลยครับ
คุณจะเคยได้ยินว่า ให้เขียนบทความโดยใช้ Heading Tag (H) เรียงตั้งแต่ H1-H6 นี่คือ การทำ HTML Tag เพื่อบอกให้ Search Engine ทราบว่า เว็บไซต์หน้านี้เกี่ยวข้องกับอะไร และกำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่บ้าง
โดยคุณต้องไม่ลืมที่จะใส่ Keyword ลงไปใน Heading Tag ด้วย เพราะนี่เป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับการทำ SEO ON PAGE
URL เปรียบเสมือนที่อยู่ของเว็บเพจหน้านั้นๆ คุณควรที่จะทำให้ URL นั้นมี Keyword ที่เกี่ยวข้อง เขียนให้สั่น กระชับ เพื่อให้ผู้ใช้งานที่เจอเว็บไซต์ของคุณเข้าใจได้ในทันทีว่าเป็นบทความเกี่ยวกับอะไร ยกตัวอย่างเช่น
ทั้งสอง URL พาไปยังหน้าเว็บไซต์เดียวกัน แต่เมื่ออ่าน URL ทั้งสองแบบจะเห็นว่า URL ด้านล่างสามารถบอกได้ว่า ลิงก์นี้กำลังพูดถึงเรื่องอะไร ซึ่งเรื่องนี้ส่งผลต่อ CTR ของหน้าเว็บไซต์นั้นๆ ด้วย เพราะการใช้ลิงก์ในรูปแบบแรกอาจทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกว่า เว็บไซต์ขาดความน่าเชื่อถือ จนไม่กดเข้ามายัง URL ของคอนเทนต์นี้ได้
การใส่ Image ก็ถือว่าส่วนประกอบ ของ On Page Seo ดังนั้นอย่าลืมที่จะใช้รูปภาพในการอธิบายข้อมูลเพิ่มเติม เพราะการใช้รูปภาพจะช่วยทำให้คอนเทนต์น่าอ่าน จับใจความได้ง่ายกว่า การเขียนเป็น Text ยาวๆ เต็มไปหมด นอกจากนี้ก็ควรที่จะใส่ Alt Text ซึ่งเป็นคำอธิบายรูปภาพที่แทรกอยู่ใน HTML Code โดยเขียนอธิบายรูปๆ นั้นตามจริง และควรมี Keyword ที่เกี่ยวข้องใส่ลงไปด้วย เพื่อให้ Search Engine เข้าใจว่า รูปนั้นเกี่ยวกับอะไร และมีโอกาสทำให้ติด Image search อีกด้วยการทำ Internal Link และ External Link
การทำ Internal Link ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ สำหรับการทำ on page seo เลยก็ว่าได้ครับ Internal Link คือการส่งเชื่อมโยงลิ้งก์ ไปยังหน้าอื่นๆ บนเว็บไซต์นั้นส่งผลต่อการทำ SEO เช่นกัน โดยเฉพาะการทำลิงก์จากหน้าที่มีคุณภาพสูงไปยังลิงก์ที่คุณต้องการปรับปรุง เพื่อให้ Search Engine มองเห็นถึงความสัมพันธ์ของหน้าเหล่านั้นมากขึ้น ซึ่งตัวอย่างการทำ Internal Link ที่ดี คุณสามารถดูได้จาก Wikipedia ที่มีการทำ Internal Link ภายในเว็บมากมายเลยครับ
หลายคนที่ทำเว็บไซต์กลัวการที่จะอ้างอิงหรือทำ External Link ไปยังเว็บไซต์อื่นๆ เพราะเข้าใจว่า จะเป็นการไปช่วยในเว็บไซต์นั้นติดอันดับหรือส่งคนไปยังเว็บไซต์นั้นมากขึ้น
แต่เหรียญนั้นมี 2 ด้านครับ เพราะการทำ External Link ไปยังเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ มีส่วนช่วยให้ Search Engine มองว่า เว็บไซต์ของคุณคือศูนย์รวมของข้อมูลชั้นดีด้วยเหมือนกัน
ซึ่งเรื่องนี้ทาง Reboot Online เคยทำการทดสอบแล้วครับ โดยการสร้างเว็บไซต์ขึ้นมาใหม่ 10 เว็บไซต์ พบว่า เว็บไซต์ที่ทำ External Link ไปยังแหล่งอ้างอิงที่มีคุณภาพและเกี่ยวข้อง เช่น ลิงก์ไปยัง Oxford University มีอันดับที่เหนือกว่าเว็บไซต์ที่ไม่ได้ทำ External Link
คงไม่มีใครอยากที่จะนั่งรอให้เว็บไซต์ดาวน์โหลดจนเสร็จ ในเมื่อมีทางเลือกจากเว็บอื่นๆ ในหัวข้อเดียวกันรอให้อ่านอยู่ นี่จึงเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญครับที่คุณจะต้องตรวจสอบดูว่า เว็บไซต์ของคุณดาวน์โหลดเร็วหรือไม่ เพราะถ้าเกิดเหตุการณ์เว็บไซต์ช้า ก็จะทำให้อัตราการออกจากเว็บเพจ (Bounce Rate) สูงขึ้น
แน่นอนว่าเรื่องนี้ส่งผลต่อการจัดอันดับของ Search Engine ด้วยเช่นเดียวกัน เพราะนี่เป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักของ Core Web Vitals ที่ Google อัปเดตนโยบายเอาไว้ให้ปฏิบัติตามด้วย
นอกจากเรื่องพื้นฐานเหล่านี้ ก็ยังมีเทคนิคขั้นสูงของการทำ On Page SEO ให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น เช่น การทำ Schema, การทำ featured snippets ฯลฯ ไว้คราวหน้าผมจะมาเจาะลึกเทคนิคเหล่านี้ให้ทราบกัน แต่วันนี้ผมอยากฝากแกนการทำ On Page SEO เอาไว้เป็น Guideline On Page SEO สำหรับมือใหม่ ซึ่งมีด้วยกัน 7 ข้อด้วยกัน คือ
ก็หวังว่า บทความนี้จะช่วยปูพื้นฐานให้คุณทำ On Page SEO ได้อย่างเชี่ยวชาญ ไปพร้อมๆ กับการปรับปรุงเนื้อหาคอนเทนต์ให้เกี่ยวข้อง สดใหม่ ไม่เหมือนใคร และอ่านเข้าใจง่าย ซึ่งหากทำ 2 สิ่งนี้ประกอบกันรับรองว่า จะช่วยทำให้การทำ SEO ON PAGE ของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างแน่นอนครับ
ก็จบไปกันแล้วนะครับสำหรับ หัวข้อ SEO ON PAGE คืออะไร ก็หวังว่าบทความนี้คงจะมีประโยชน์กับชาวเนิร์ดทุกคนนะครับ